พาลูกเที่ยวจอร์แดน 5 วัน
เที่ยวจอร์แดน แบบสรุป อ่านจบ จองตั๋ว แล้วพาลูกไปเที่ยวกันเล้ยยยยย
บทความนี้ได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของจอร์แดน และเมื่อไปถึงแล้วต้องไปให้ได้นะคะ แต่ละที่ รับรอง ว๊าว ว๊าว ว๊าว ค่ะ
วันแรก เราเริ่มจากแถวใกล้ๆเมืองหลวงอัมมานก่อนนะคะ
Jerash เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในจอร์แดนเหมือนกับเมืองเปตรา ดูเมืองโบราณ เทวสถานที่สำคัญของยุคโรมัน ที่ยังคงหลงเหลือซากให้เห็นถึงอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรือง ไม่น่าเชื่อว่า เมืองตะวันออกกลาง จะมีกลิ่นอายวัฒนธรรมของโรมันเด่นชัดขนาดนี้ ที่เที่ยวที่น่าไป ตามนี้เลย
Arch of Hadrian(Jerash) , The Oval Forum เสาพันต้น , Roman road
ใช้เวลาเที่ยวจุดนี้ประมาณ สองชั่วโมงค่ะ
Ajloun Castle
ปราสาท Ajloun เป็นปราสาทมุสลิมในศตวรรษที่ 12 ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจอร์แดน ตั้งอยู่บนยอดเขาของ Jabal Ajlun (“Mount Ajlun”) หรือเรียกอีกอย่างว่า Jabal ‘Auf
ใช้เวลาเที่ยวจุดนี้ประมาณ หนึ่งชั่วโมงค่ะ
Mount Nebo(Moses Memorial)
เป็นสันเขาสูงในจอร์แดนประมาณ 817 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล (2,680 ฟุต) กล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิลฮีบรูเป็นสถานที่ที่โมเสสได้รับการปลดปล่อย มองจากยอดเขาเป็นภาพพาโนรามาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (เยรูซาเล็ม) และไปทางทิศเหนือจะเห็นแม่น้ำจอร์แดน โบสถ์ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 4 เพื่อรำลึกถึงสถานที่แห่งความตายของโมเสส โบสถ์ได้รับการออกแบบตามแบบฉบับของมหาวิหาร ที่น่าสนใจคือกระเบื้องโมเสคลวดลายต่างๆ
ใช้เวลาเที่ยวจุดนี้ประมาณ สองชั่วโมงค่ะ
Greek Orthodox Basilica of Saint George(Madaba)
ซากปรักหักพังของแผนที่ที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จักกันดีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ประกอบอย่างระมัดระวังจากกว่าล้านชิ้นของหินสีโมเสคอยู่บนพื้นของโบสถ์แห่งนี้
ใช้เวลาเที่ยวจุดนี้ประมาณ ครึ่งชั่วโมงค่ะ
Madaba เพียง 30 กม. จากอัมมาน คือ Madaba หรือที่เรียกว่า “City of Mosaics” เมืองเล็กๆ ตึกรามบ้านช่องก็ไม่ได้สวยงามมากนัก ประหนึ่งอยู่ฉนวนกาซ่า แต่ก็เป็นอีกวิวที่เราจะไม่ค่อยเห็นจากที่ไหนนะคะ ^^ ผู้คนหน้าเครียดๆแต่พอได้คุยก็มีอัธยาศัยที่ดี จะสังเกตได้ว่า คนจอร์แดนชอบเล่นและทักทายเด็กน้อยเหมือนกันนะคะ
รร.ที่พัก Saint John Hotel, อยู่ที่ King talal Street, Madaba, จอร์แดน พักห้องแบบแฟมิลี่ ได้ 3 เตียงนุ่มๆ ห้องกว้างมาก ห้องอาหารบนรร. สามารถมองเห็นวิวโบสถ์ได้ ตอนไปถึงเมืองนี้ เป็นช่วงเย็นๆ ดูจะน่ากลัวนิดนึง โบสถ์ก็เล็กๆนะคะ ไม่ใหญ่มาก แต่มีประวัติยาวนาน และดูขลังค่ะ ผู้คนที่นั่นโอเคเลยค่ะ ถึงจะไม่ยิ้ม แต่ก็ไม่น่ากลัว และไม่มีการโกงกันค่ะ อาหารเช้าไม่มาก แต่ก็น่าทานนะคะ
ขอแนะนำ ร้านอาหาร มื้อเย็น ชื่อร้าน AYOLA อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเลย ราคาโอเค อร่อยด้วย ในร้านเป็นสไตล์โมฮีเมี่ยน ชอบมื้อนี้ที่สุดละ เซตละประมาณ สี่ถึงห้าจอร์แดนค่ะ
วันที่สอง เราต้องรีบออกแต่เช้า เพราะระยะทางไกล วันนี้เราจะไปเที่ยวดาวอังคารกัน ใช้เวลาขับรถจากเมืองมาดะบะ เกือบ 4 ชั่วโมงแหน่ะ (จริงๆถ้าเป็นไปได้ ให้ไปเที่ยว dead sea ก่อน 1 วันแล้วค่อยมา Wadi rum ก็ได้ นะคะ แต่เนื่องจากพวกเราจองที่พักได้แค่วันนี้ เลยต้องลุยไปกันค่ะ)
Wadi rum หรือที่เรียกว่า Valley of the Moon เป็นหุบเขาตัดเป็นหินทรายและหินแกรนิต อยู่ทางตอนใต้จอร์แดน 60 กม. Wadi Rum เป็นภาษาอาหรับหมายถึง หุบเขาโรมัน หรือ “Valley of the Rûm” เสมือนหลุดไปอยู่บนดาวอังคาร ก่อนไปเที่ยวจอร์แดน คิดว่า คงมีที่เที่ยวแค่ที่เพตราแค่นั้น คงไม่มีอะไรอื่นที่น่าสนใจ แต่พอได้ข้อมูลจากคุณสามี โอ้โห มีแบบนี้ด้วย แปลกดีอ่ะ
รร.ที่พัก Wadi Rum Night Luxury Camp, อยู่ที่ Anfeshiah , Wadi Rum Protected Area and Natural Reserve, Wadi Rum 00962, จอร์แดน ลงทุนจองห้องแบบโดมด้วยนะ จะได้ดูดาวทั้งคืน แต่ด้วยข้อกำหนดของ รร. อีกแล้ว จึงต้องเสียตังค์เพิ่มจองแบบเต้นท์ด้วย แบบเต้นท์ก็จะได้ฟีลแบบชาวพื้นเมืองค่ะ เข้าไปอุ่นๆ แต่เอาจริงๆพวกเรานอนโดมทั้ง 4 คนเลย เตียงใหญ่มาก ราคารวมอาหารเช้า และเย็นค่ะ มองดูดาว สวยจริงๆค่ะ แนะนำไปคืนเดือนมืดนะคะ จะamazing มากค่ะ
ยิ่งดึก ดาวยิ่งมาค่ะ
อาหารเช้า และอาหารค่ำ รวมอยู่ในราคาห้องพัก ทานแบบบุฟเฟต์
บริเวณ ใน Wadi Rum เราไม่สามารถนำรถเข้าไปเองได้ ต้องติดต่อตกลงทัวร์กันด้านหน้าค่ะ และถ้าเรามีจองที่พักไว้ในนั้น หลังจากทัวร์เสร็จเค้าจะไปส่งที่ที่พักให้ค่ะ จะมีกิจกรรม ขี่อูฐ ขี่ม้า นั่งรถ 4W เพื่อทัวร์ภายในนั้น ซึ่งกว้างขวางใหญ่มากนะคะ สุดลูกหูลูกตาเลย เสมือนหลุดเข้าไปดาวอังคารจริงๆค่ะ พาไปดูตามจุดต่างๆค่ะ ทั้งดูพระอาทิตย์ตก เดินบนเนินทราย ปีนเขา สนุกดีค่ะ
ใช้เวลาเที่ยวจุดนี้ประมาณ หนึ่งวัน (สี่ถึงห้าชั่วโมง)ค่ะ
วันที่ 3 เมื่อคืนสนุกมาย ตื่นดูดาวตลอด วันนี้จึงออกสายหน่อย ให้รถมารับ 8.30 น. ค่ะ วันนี้เราจะไปชมมรดกโลก ที่อยากมาดูนานละ
Petra
เมืองนี้มีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมหินและระบบท่อน้ำ อีกชื่อหนึ่งสำหรับ Petra คือ Rose City เนื่องจากสีของหินที่แกะสลัก กลายเป็นสัญลักษณ์ของจอร์แดนไปแล้ว เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 ยูเนสโกได้กล่าวว่า “เป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมที่มีค่าที่สุดในมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษย์”
เปตรา แต่เดิมที่รู้จักคือ Raqmu (Nabataean) เป็นเมืองทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีในภาคใต้ของจอร์แดน Petra ตั้งอยู่บนเนินเขาของ Jabal Al-Madbah เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักร Nabataean
นครลึกลับสีชมพูแห่งนี้ของจริงใหญ่มาก และไม่ใช่มีแค่นั้น ข้างในของเมืองเปตรา กว้างขวางมากจริงๆค่ะ ต้องใช้เวลาเดินเป็นวันๆ ถึงจะทั่ว และถ้าเดินดูแบบลึกซึ้งละก็ 2-3 วันนะ ราคาค่าตั๋วเข้า จะรวมรถม้า หรือขี่ม้าแล้วค่ะ แต่จะให้เป็นทิปกับคนลากแทนค่ะ มาที่นี่ ลูกๆสนุกกันมากก็คือได้ขี่ม้า ขี่อูฐ ขี่ลา นั่งรถม้า 555 คุณพ่อคุณแม่ปาดเหงื่อกับค่าขี่ (ขี่อูฐ 3 ตัว ประมาณ ครึ่งชม. เราจ่ายไป 70 ดีนาร์จอร์แดน เกือบ 3พันสองร้อยบาทค่ะ)
จากปากทางเข้า กว่าจะถึงจุดนี้ ไกลอยู่นะคะ
ของจริงยิ่งใหญ่อลังการ สีโอรสจริงๆค่ะ
เดินไม่ไหวกันแล้ว ขี่อูฐดีกว่าค่ะ
รร.ที่พัก Candles Hotel, อยู่ที่ Wadi Musa, Petra, Wadi Moussa, จอร์แดน จะอยู่ตรงข้ามกับทางเข้า นครเปตรา เดินไม่ไกลค่ะ แต่อยากแนะนำให้ลองไปพักที่ฝั่งหน้าผา เช่น Marriott หรือ Movenpick หรือ Panorama hotel ดู วิวน่าจะยิ่งใหญ่กว่านี้ค่ะ
จบไปอีกวัน เป็นวันที่เดินเยอะจริงๆค่ะ เด็กๆก็สนุกกันมาก เข้าโรงแรมกันเร็วหน่อย พักผ่อน พร้อมจะลุยต่อในวันที่ 4 ค่ะ
วันที่ 4 เราแวะชม อควาบากันก่อน แต่เนื่องจากเราอยากใช้เวลาที่เดดซีนานๆ เลยไม่ได้ลงเรือท้องกระจกที่นี่ มาคราวหน้าไม่พลาดแน่นอน น้ำใสมากอ่ะ
Aqaba อควาบา
เป็นเมืองชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในจอร์แดน ปัจจุบันอควาบามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของจอร์แดนผ่านทางการค้าและการท่องเที่ยว
น้ำใสมาก มองทะลุได้ลึกมาก จึงเป็นที่นิยมนั่งเรือท้องกระจก เพื่อดูความใสของน้ำ หรือดำน้ำทั้ง snorkeling และ diving และสถานที่นี้ยังเป็นจุดที่ที่เราสามารถมองเห็นได้หลายประเทศ เพราะที่อ่าวนี้มีพื้นที่ติดหลายประเทศ จอร์แดน ซาอุฯ อิสราเอล และอียิปต์ บริเวณนี้ก็จะคล้ายๆพัทยาบ้านเราค่ะ มีโรงแรมตากอากาศมากมาย และมีห้างสรรพสินค้าด้วยนะคะ
ใช้เวลาเที่ยวจุดนี้ประมาณ สองชั่วโมงค่ะ ขึ้นอยู่กับกิจกรรม
จากเปตรา ขับมาเรื่อยๆ ถึงอควาบา เลยไปเลียบทะเลเดดซี ซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็นประเทศอิสราเอล ดูขึมๆนะ แถมมีตำรวจเรียกตลอดค่ะ เซย์ไฮแล้วขับต่อไป รวมเกือบ 3 ชั่วโมง
Dead Sea
ตอน ม. ต้น เรียน atlas ก็อยากรู้ละว่า ทะเลที่เค็มที่สุดในโลกเป็นยังไงน๊า ไม่น่าเชื่อว่ามันจะดันทำให้ลอยตัวได้จริงๆ มองโดยทั่วไป ก็เหมือนทะเลธรรมดาทั่วไป แต่จุดเด่นอยู่ที่ ความสงบของคลื่น และสีน้ำทะเลบริเวณหาด เป็นสีเขียว แมชต์กับสีขาวๆของก้อนเกลือและทรายบริเวณนั้น
ทะเลเดดซี หรือ ทะเลมรณะ เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเข้มข้นของเกลือสูงมาก อยู่ตรงเขตแดนประเทศจอร์แดน รัฐปาเลสไตน์ และอิสราเอล ระดับน้ำอยู่ต่ำที่สุดของโลก
คนชาวอาหรับจะเรียกทะเลสาบเดดซีกันว่า “อัลบาห์รัลไมยิต” หมายความว่า ทะเลมรณะ เช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ ขณะที่ภาษาฮีบรูเรียกทะเลสาบนี้ว่า “ยัมฮาเมละฮ์” ซึ่งหมายความว่า “ทะเลเกลือ” เป็นทะเลที่เค็มที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เค็มกว่าทะเลอื่นถึง 4 เท่า มีความยาว 76 กิโลเมตร กว้างถึง 18 กิโลเมตร มีจุดที่ลึกที่สุดคือ 400 เมตร และอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 417.5 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลมากที่สุดในโลกอีกแห่งด้วย สำหรับทะเลสาบเดดซี เป็นจุดหมายปลายทางของผู้ชื่นชอบในการเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ เป็นทะเลที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย ยกเว้นแต่แบคทีเรียและเห็ดราบางชนิด
รร.ที่พัก Hilton Dead sea Resort & Spa เลือกพักที่นี่ เพราะมีหาดส่วนตัวลงไปที่ Dead sea ถึงแม้ว่า ข้อกำหนดของที่นี่ให้เข้าพักได้ไม่เกิน 3 คน ทำให้ต้องจอง 2 ห้อง – -” แต่สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆก็ถือว่าคุ้ม ตอนลงไปเล่นทะเล ก็มีชาดหาดส่วนตัวเลยค่ะ มีเก้าอี้ชายหาด มีสระว่ายน้ำแบบริมขอบ มีพนักงานคอยบริการ เจ้าหน้าที่แนะนำให้ลงไปเล่น แค่ 5 นาที จากนั้นมาพอกโคลนที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ พอกตัว พอกหน้า โดยมีเจ้าหน้าที่จัดการให้ แถมนวดให้อีก สบายจริงๆ แค่นี้ ถือว่าคุ้มกับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแล้วค่ะ
แนะนำให้ลอยตัวบริเวณที่เค้ากั้นเขตให้เลยค่ะ เพราะริมหาดมีหินเยอะ เจ็บเท้าค่ะ แต่พวกเราต้องอยู่ริมหาดเพราะทาง รร.ไม่อนุญาตให้เด็กต่ำกว่า 18 ปี เข้าบริเวณโป๊ะค่ะ
วันที่ 5 อิ่มหนำสำราญกันมาก กับโรงแรมที่นี่ พล้อมลุยต่อวันสุดท้ายในจอร์แดน เราจะกลับไปเที่ยวในเมืองหลวงกันนะคะ เมืองอัมมานนั่นเอง
Amman อัมมาน
เป็นเมืองหลวงและเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศจอร์แดน ในปัจจุบันอัมมานได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเมืองอาหรับที่มีอิสรเสรีมากที่สุด เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักท่องเที่ยวอาหรับและยุโรป เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 5 ของประเทศอาหรับ นอกจากนี้ยังได้รับการตั้งชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดของตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือตามปัจจัยทางเศรษฐกิจแรงงานสิ่งแวดล้อมและสังคมวัฒนธรรมด้วย
เมืองหลวงที่ไม่วุ่นวายนัก แต่การเดินทางยังคงต้องใช้รถยนต์เป็นหลัก ไม่มีห้างใหญ่ๆนะคะ มีแต่ตลาด และร้านขายของชำ แค่นั้นค่ะ ตึกรามบ้านช่องก็อยู่กันตามเนินเขานั่นแหล่ะค่ะ ยังคิดว่าจะทนกับแผ่นดินไหวได้มั้ยหนอ สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็เป็นแนวโรมันอ่ะค่ะ
Kerak Castle
เป็นปราสาทชาวครูเซดขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่ al-Karak ในจอร์แดน เป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองลิแวนต์ การก่อสร้างปราสาทเริ่มขึ้นในทศวรรษที่ 1140 ภายใต้ Pagan และ Fulk กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม พวกครูเซดเรียกว่า Crac des Moabites หรือ “Karak in Moab” ตามที่ได้กล่าวไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ เป็นปราสาทที่อยู่บนเขาสูงมากกกกกก มากจริงๆ ขับรถขึ้นไปนี่เสียวมากอ่ะค่ะ ลมแรงมากกก
ใช้เวลาเที่ยวจุดนี้ประมาณ หนึ่งชั่วโมงค่ะ
จบการท่องเที่ยวในประเทศจอร์แดนแบบ 5 วันเต็มๆ เรามีไฟล์ทต่อไปดูไบเพื่อไปเที่ยวที่นั่นอีก จึงเก็บแรงช่วงเย็นไว้ด้วยค่ะ เราเที่ยวแบบสบายๆเพราะมีเด็กเล็กด้วย ถ้าใครไปเที่ยวเอง ก็จะเก็บที่เที่ยวได้เยอะกว่าเราแน่นอนค่ะ
ข้อควรทราบในการไปเที่ยวจอร์แดนแบบสบายๆ
การแต่งกาย อย่างที่ทราบกันว่าประเทศทางอาหรับเคร่งครัดกับการแต่งกายของผู้หญิงมาก ฉะนั้นการไปเที่ยวประเทศเหล่านี้ เราก็ต้องให้เกียรติสถานที่ และวัฒนธรรมของเค้ากันค่ะ แต่ไม่ต้องถึงกับปิดหน้าหรือมิดชิดขนาดนั้น แค่สบายๆ สีไม่ฉูดฉาด เป็นจุดเด่นมากนัก กางเกงหรือกระโปรงไม่สั้นจนเกินไป เท่านี้ เราก็เที่ยวและถ่ายรูปกันอย่างสบายใจค่ะ
Jordan Pass ซื้อแล้วใช้คุ้มดีค่ะ เป็น Pass สำหรับยื่นวีซ่า on arrival และ เป็น pass ในการเข้าสถานที่ท่องเที่ยวได้หลายแห่งเลยค่ะ ถ้าสะดวกก็ปริ้นท์ QR Code นั้นลงกระดาษพกติดตัวไปเลยค่ะ เข้าสถานที่ท่องเที่ยวไหน ก็ให้เค้าดู เค้าจะสแกนแล้วผ่านเข้าได้เลยค่ะ
การขับรถใน Jordan เป็นพวงมาลัยซ้ายนะคะ อย่าตกใจถ้าจะมีการบีบแตร ในกรณีที่คุณออกตัวรถช้าไปหน่อย อิอิ พวกเราเช่ารถจาก Monte carlo ได้เรทที่ดีกว่า ตอนแรกๆก็กล้าๆกลัวๆนะคะ เพราะเป็นเจ้าเล็กๆ และพนักงานที่เอารถมาส่งก็ไม่ยิ้มเลยค่ะ จะพาเราไปไหนก็ไม่รู้ 555 แต่ผ่านไปด้สยดี และดีมากด้วยค่ะ มีปัญหาอะไร ก็โทรหาพี่แกได้ตลอด เค้าบริการดีค่ะ แนะนำ ….ใครไปจองบอกว่า chawalit from Thailand แนะนำมา 555
วิวริมทาง
ช่วงบนเขาสูงๆ ก็มีหิมะบนทะเลทรายให้เห็น แปลกไปอีกแบบค่ะ
ซิมการ์ด หรือ wifi wifi มีเกือบทุกโรงแรมนะคะ ยกเว้นในบริเวณ Wadirum ค่ะ
ซิมพวกเราใช้ของ Umniah ราคาถูก ใช้ได้ 12GB แต่ในบางพื้นที่ก็สัญญาณต่ำนะคะ แต่สำหรับการนำทาง โอเคเลยค่ะ เราใช้ทุกวันและตลอดเวลา โอเคค่ะ แต่ที่สนามบินจะมีอีกยี่ห้อนึงนะคะ ใครสายเปย์ ลองใช้ดูแล้วมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ ว่าสัญญาณดีมั้ยค่ะ
การเดินทางโดยเครื่องบิน บินตรงไปที่จอร์แดน พวกเราใช้บริการของ Royal Jordanian ค่ะ หมดกังวลเรื่องกลิ่นนะคะ ไม่มีค่ะ แขกขาวเค้าหอมฟุ้งมาก อาหารขาไปก็จากการบินไทย แต่ขากลับหนักไปทางแป้งๆนะคะ เดินทางพร้อมเด็ก อย่าลืมจอง child meal ล่วงหน้านะคะ ขาไปใช้เวลาประมาณ 10 ชม.นะคะ ขากลับประมาณ 8 ชม.ค่ะ ถ้ามีเด็กๆไปด้วย แนะนำไฟล์ทดึกค่ะ เพราะเค้าจะได้นอนตลอดระยะเวลาบิน อาจจะใช้วิชาเซียนหลายอย่าง ก็สู้ๆนะคะ
เที่ยวพร้อมเด็กเล็ก อาจจะเหนื่อยขึ้นนิดนึงนะคะ แต่ถ้าเราเตรียมพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนม ขนม ยา แพมเพิส ไอโฟน มันก็เป็นเรื่องสนุกค่ะ เค้าจะมีประสบการณ์ที่ดีๆ ที่เมืองไทยไม่มีค่ะ
สุดท้าย ขอขอบคุณคุณสามีที่จัดการวางแผนเที่ยว จองโรงแรม ติดต่อนู่นนี่นั่นมากมาย ทั้งวีซ่า รถเช่า สถานทูต ทำเพียงคนเดียวจริงๆ ทั้งที่งานเยอะมาก แถมยังเป็นสปอนเซอร์ที่ใจดีที่สุดในโลก ตอนไปเที่ยวก็เป็นคนขับรถทุกวัน ระยะทางไกลก็ไม่บ่น หิ้วกระเป๋า อุ้มลูก คุยกับผู้คน และทริป นี้ก็จบสมบูรณ์แบบเพอร์เฟ็คทุกประการ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ